วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เคมีบอยเลอร์

การปรับสภาพน้ำก่อนเข้าบอยเลอร์

          น้ำที่ส่งมาจากท่อน้ำหลักหรือแหล่งต่าง ๆ เป็นน้ำที่ไม่บริสุทธิ์  ถ้าน้ำดังกล่าวถูกนำไปใช้โดยตรงในหม้อไอน้ำ  หรือในหม้อน้ำร้อนจะทำให้เกิดการกัดกร่อนอย่างรุนแรง  และตะกรันก็จะก่อตัวขึ้นมาซึ่งจะทำให้ไปขัดขวางการถ่ายเทความร้อนและทำให้สิ้นเปลืองพลังงานด้วย
ระบบไอน้ำ (Steam Systems)
          ระบบการบำบัดน้ำป้อนเข้าที่ไม่ดี  ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เกิดการสูญเสียพลังงานในการผลิตไอน้ำที่มากที่สุด  ซึ่งส่งผลให้มีการระบายน้ำทิ้งจากหม้อไอน้ำมากเกินไป  และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ  ยังทำให้เกิดตะกรันขึ้นด้วยตะกรัน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ความสามารถในการถ่ายเทความร้อนลดลง  และท้ายที่สุดยังทำให้เกิดความผิดพลาดที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงอีกด้วย  ตะกรันบางประเภทส่งผลให้การถ่ายเทความร้อนลดลงอย่างมาก ดังแสดงในรูปที่ 13 จะเห็นได้ว่าแม้แต่ในชั้นบางที่สุดก็ยังทำให้ประสิทธิภาพของหม้อไอน้ำลดลงอย่างมาก
          สารปนเปื้อน (Contaminants)
          โดยปกติ  ถ้าไม่คำนึงถึงแหล่งที่มาแล้วน้ำมักมีสารเจือปนอยู่  โดยสารเจือปนเหล่านี้จะอยู่ในรุปของสารละลาย  แต่ในบางกรณีจะมีการแขวนลอยของสารอินทรีย์  และสารประกอบแร่ธาตุต่าง ๆ ปะปนอยู่ด้วย  แร่ธาตุต่าง ๆ ซึ่งละลายอยู่ในน้ำจึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหาที่สำคัญที่สุดได้คือ  เกลือแคลเซียมและเกลือแมกนีเซียม  แร่ธาตุเหล่านี้อยู่ในรูปสารละลายในขณะที่เมื่อน้ำร้อนขึ้น  ความสามารถในการละลายจะน้อยลงและในที่สุดก็จะตกตะกอน  การบำบัดน้ำจะต้องออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิ่งเหล่านี้  และทำให้แน่ใจว่าการตกตะกอนจะไม่ติดอยู่ที่พื้นผิวการถ่ายเทความร้อนของโลหะ  และอยู่ในรูปแบบที่สามารถกำจัดออกจากหม้อไอน้ำได้อย่างง่ายโดยการระบายทิ้งไป  การบำบัดน้ำสามารถทำได้โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง  ดังนี้
          -  วิธีบำบัดน้ำภายในอกก่อน  เพื่อกำจัดหรือแก้ไขปัญหาเกลือแร่ต่าง ๆ
          -  เติมสารเคมีโดยตรงที่น้ำในหม้อไอน้ำเพื่อป้องกันการเกิดตะกรันและการกัดกร่อน
          การบำบัดน้ำภายนอก (Extgernal Treatment)
           การเตรียมการบำบัดน้ำภายนอกมีวิธีการทำได้โดยการเปลี่ยนสภาพของเกลือแคลเซียมและเกลือแมกนีเซียม (หรือความกระด้างชั่วคราว)  ไปเป็นสารประกอบที่ไม่ก่อให้เกิดตะกรันในสารละลาย  หรือกำจัดเกลือของความกระด้างชั่วคราวออกไปพร้อม ๆ กัน  การแก้ปัญหาวิธีแรกเป็นเรื่องทั่ว ๆ ไป  และรู้จักกันในชื่อของ "Base-Exchange Softening" (รูปที่ 15)  ในขณะที่กรรมวิธีที่ 2 เรียกว่า "Demineralization" (ลดปริมาณแร่ธาตุให้น้อยลง) ดังรูปที่ 16 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา  ได้มีการนำเอาวิธี "รีเวอร์ส ออกโมซิส (Reverse Osmosis)" มาใช้แทนวิธี "Demineralisation"
          กระบวนการที่จะเลือกใช้ต้องขึ้นอยู่กับประเภทของหม้อไอน้ำ  คุณภาพของน้ำดิบ  พิกัดหม้อไอน้ำ  และปริมาณของน้ำที่ควบแน่นที่ไหลกลับไปที่หม้อไอน้ำด้วย  ดังที่ได้แสดงไว้ในรูปที่ 17
          ค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่เกี่ยวข้องของเครื่องจักรทั้ง 3 ประเภทนั้นขึ้นอยู่กับหน่วยสำหรับเครื่องแลกเปลี่ยนอิออนดังนี้
          -  เครื่องแลกเปลี่ยนอิออน 1
          -  ระบบ Demineralization 15
          -  ระบบ Reverse Osmosis 25
          ค่าใช้จ่ายของการปฏิบัติการของเครื่องจักรแต่ละประเภทจะขึ้นอยู่กับน้ำดิบและค่าใช้จ่ายของน้ำดิบ  แต่สำหรับระบบทั่ว ๆ ไปมีอยู่ 2 ระบบที่ค่าใช้จ่ายในการบำบัดน้ำจะขึ้นอยู่กับอัตราการกำจัดเกลือ 100 มิลลิกรัม/ลิตร  ดังนี้
          -  Base Exchange 2.5 เพนนี/ม3  (1.58 บาท*)
          -  Demineralization 30.0 เพนนี/ม3  (19.01 บาท*)
          ปริมาณเกลือแร่ทั้งหมดที่ได้แสดงไว้จะรู้จักกันว่าเป็นของแข็งที่ละลายทั้งหมด (Total Dissolved Solids: TDS)  ปริมาณที่ยอมให้มีได้ในหม้อไอน้ำขึ้นอยู่กับการออกแบบ  ดังแสดงในตารางที่ 4
          *อัตราแลกเปลี่ยน 1 ปอนด์  เท่ากับ  63.35 บาท  ณ วันที่ 8 ธันวาคม 2546
                รูปที่ 4  TDS สูงที่สุดที่ยอมให้มีได้ตามประเภทของหม้อไอน้ำที่แตกต่างกันออกไป
                           ประเภท                                                     TDS สูงที่สุด - ppm
          หม้อไอน้ำแบบลูกหมู (Lancashire)                                            10,000
          Smoke and Water Tube  (ความดันสูงถึง 10 บาร์)                      5,000
          High Pressure Water Tube                                                3,000 - 3,500
          Package and Economic                                                             3,000
          ข้อสังเกต  :  ตัวเลขข้างบนให้เพื่อใช้เป็นแนวทาง  แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตตลอดเวลา
          การบำบัดน้ำภายใน (Internal Treatment)
          วิธีบำบัดน้ำภายในมีความสลับซับซ้อนมากน้อยแค่ไหน  ขึ้นอยู่กับประเภทของหม้อไอน้ำ  องค์ประกอบทางเคมีของน้ำดิบและไอน้ำที่ใช้ซึ่งจะมีผลกระบโดยตรงต่อกระบวนการผลิตหรือไม่   รายละเอียดต่าง ๆ เหล่านี้ไม่มีอยู่ในคู่มือเล่มนี้
          โดยทั่ว ๆ ไปการบำบัดน้ำก็คือ
          -  ป้องกันการกัดกร่อนที่เกิดจากออกซิเจน
          -  เคลือบพื้นผิวโลหะไม่ให้เกิดการกัดกร่อนเนื่องจากกรด  หรืออัลคาไลน์
          -  เพื่อให้มั่นใจว่าตะกอนของเกลือจะไม่ติดอยู่ที่พื้นผิวการถ่ายเทความร้อน  ซึ่งจะเป็นสาเหตุทำให้ประสิทธิภาพลดลง
          -  เพื่อให้แน่ใจว่าเกลือที่ตกตะกอนสามารถกำจัดได้อย่างง่าย ๆ โดยการระบายน้ำทิ้ง
          กฎเกณฑ์ง่าย ๆ ก็คือต้องไม่ใช้สารเคมีมากเกินความจำเป็น  โดยตัวของสารเคมีเองก็มีราคาแพงอยู่แล้วยังทำให้ค่า TDS ของน้ำในหม้อไอน้ำเพิ่มขึ้นอีกด้วย  ส่งผลให้ต้องระบายน้ำทิ้งมากขึ้นอีกด้วย  และทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมลดลงด้วย
                                 การบำบัดน้ำที่ไม่ดี  ----->  สิ้นเปลืองพลังงาน   
                                     การบำบัดน้ำที่ไม่ดี  ----->  สิ้นเปลืองเงิน
          การระบายน้ำทิ้ง (Blowdown)
          การรักษาความเข้มข้นของ TDS ในหม้อไอน้ำให้มีปริมาณต่ำกว่าที่กำหนดไว้  น้ำที่อุณหภูมิเท่ากับไอน้ำจะต้องปล่อยทิ้งออกไปจากหม้อไอน้ำและแทนที่ด้วยน้ำป้อนเข้าที่มีค่า TDS ต่ำและอุณหภูมิต่ำกว่า  กระบวนการดังกล่าวนี้  ไม่เพียงแต่ต้องคำนึงถึงทั้งค่าใช้จ่ายของพลังงานที่ใช้เพื่อให้ความร้อนของน้ำที่ระบายท้งไปที่อุณหภูมิไอน้ำแล้ว  ยังต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายของการซื้อน้ำ  การบำบัดน้ำ  และการสูบน้ำเข้าไปในหม้อไอน้ำด้วย  การระบายน้ำทิ้งมากเกินไปทำให้เกิดความสิ้นเปลืองทั้งพลังงานและเงินเป็นจำนวนมาก
          ตัวอย่างต่อไปนี้แสดงให้เห็นถึงค่าใช้จ่ายของเชื้อเพลิงที่ต้องสูญเสียไป
          หม้อไอน้ำลูกหนึ่งประสิทธิภาพในการปฏิบัติการ 80%  อัตราการระเหยของน้ำสูงสุด 5,000 กก./ชม.  ที่ความดัน 10 บาร์  และได้รับน้ำป้อนเข้าที่อุณหภูมิ 700C ที่ปริมาณ 5,000 กก.  เป็นไอน้ำที่ผลิตได้ 4,500 กก.  และต้องระบายน้ำทิ้ง 500 กก.
          ปริมาณความร้อนของน้ำและไอน้ำ  คือ
          ไอน้ำ 4,500 กก. x 2,375 กิโลจูล/กก.           =     10,606,500     กิโลจูล/ชม.
          (จากตารางไอน้ำ)
          ระบายน้ำทิ้ง 500 กก. x 375 กิโลจูล/กก.      =            178,500     กิโลจูล/ชม.
          (จากตารางไอน้ำ)                                          ______________________
                                                                                      10,785,000     กิโลจูล/ชม.
                                                                              หรือ           2,996     กิโลวัตต์
          ตัวอย่างที่ให้ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของหม้อไอน้ำสมัยใหม่ที่มีการบำบัดน้ำอ่อนแบบแลกเปลี่ยนอิออนเพียงอย่างเดียว  เมื่อน้ำป้อนเข้าผ่านขบวนการ Deminerization ชนิดนี้แล้ว  อัตราการระบายน้ำทิ้งในหม้อไอน้ำจะต่ำมาก  ในกรณีเช่นนี้  การสูญเสียความร้อนก็จะเท่ากับ 1.8% ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการเผาไหม้  การปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องที่ผ่านมา 1 ปี  ทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงดังนี้
          แก๊สธรรมชาติ          46,000   ม3
          น้ำมันเชื้อเพลิง          44,500   ลิตร
          ถ่านหิน                             70   ตัน
          มูลค่าของเชื้อเพลิงจะอยู่ระหว่าง 4,000 ปอนด์ (253,400 บาท) ถึง 6,000 ปอนด์ (380,100 บาท) ต่อปี  แต่ยังต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายของการสั่งซื้อและการบำบัดน้ำดิบ 882,000 ม3  ซึ่งคิดเป็นค่าใช้จ่ายประมาณเท่า ๆ กัน
          (*อัตราแลกเปลี่ยน 1 ปอนด์  เท่ากับ  63.35 บาท  ณ วันที่ 8 ธันวาคม 2543)
          รูปที่ 18 แสดงเป็นกราฟให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเปอร์เซ็นต์ของการระบายน้ำทิ้งและเปอร์เซ็นต์ของการสิ้นเปลืองพลังงาน  ตารางนี้สามารถหาคำตอบได้ง่ายสำหรับหม้อไอน้ำชนิดต่าง ๆ
          ถึงแม้ว่าจะนำเอาวิธีการบำบัดน้ำแบบ Demaineralization มาใช้ก็ตาม  ก็ยังจำเป็นต้องมีการระบายน้ำทิ้งสำหรับควบคุมการก่อตัวของสารต่าง ๆ ที่จะเข้าไปในหม้อไอน้ำ  เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกัดกร่อนเนื่องจากออกซิเจน เป็นต้น  ไม่ว่าจะใช้วิธีบำบัดน้ำก็ตาม  จำเป็นต้องคำนึงถึงองค์ประกอบที่สำคัญ 2 อย่างคือ
          -  ต้องระบายน้ำทิ้งให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น  เพื่อให้สามารถรักษา TDS ให้เป็นไปตามข้อกำหนดในการออกแบบหม้อไอน้ำของผู้ผลิต  วิธีสุ่มตัวอย่างและทดสอบอย่างเหมาะสมจะทำให้สามารถควบคุมให้เป็นไปตามข้อกำหนดได้
          -  โดยเฉลี่ยความร้อนจากการระบายน้ำทิ้งสามารถนำกลับมาใช้ใหม่มีประมาณ 50% ที่เป็นไปได้  และอุปกรณ์ที่ใช้ต้องมีความพร้อมสำหรับการใช้งานด้วย
                                              ลดการระบายน้ำทิ้ง  -  ทำให้ประหยัดพลังงาน
          การควบคุมการระบายน้ำทิ้ง (Control of Blowdown)
          ระบบการระบายน้ำทิ้งเป็นระบบที่สามารถทำได้เป็นครั้งคราวหรือทำได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา  และสามารถเลือกที่จะใช้ระบบควบคุมด้วยมือ  กึ่งอัตโนมัติหรืออัตโนมัติ
          วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือระบบที่ควบคุมด้วยมือสามารถทำได้ทันที  โดยให้มีการระบายน้ำทิ้ง 1 ครั้งต่อ 1 ผลัดการทำงาน  เพื่อลด TDS ในหม้อไอน้ำ  ทำให้ TDS มีปริมาณต่ำที่เหมาะสมตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ให้มากที่สุดและปล่อยให้เดินเครื่องไปได้อีก 8 ชั่วโมงเพื่อให้ TDS เกิดให้มากที่สุดอีกครั้งหนึ่ง  ควรดำเนินการทดสอบ TDS ก่อนที่จะมีการระบายน้ำทิ้ง  เพื่อให้เวลาการระบายน้ำทิ้งสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสภาวะการทำงานของหม้อไอน้ำโดยเฉลี่ย  ซึ่งเกิดขึ้นตามพื้นฐานของการทำงานในแต่ละวัน
          ข้อกำหนดในการระบายน้ำทิ้งของหม้อไอน้ำสามารถคำนวณออกมาเป็นสมการได้ดังนี้
          %  การระบายน้ำทิ้ง      =                   SE              x  100
                                                            Sb   -    SE
          โดยที่  SE  =  TDS ในน้ำป้อนเข้า (มิลลิกรัม / ลิตร หรือ ppm)
                     Sb   =  TDS ที่ต้องการในหม้อไอน้ำ (มิลลิกรัม / ลิตร หรือ ppm)
          ค่าสำหรับ SE นำมาจากถังน้ำป้อนเข้าของหม้อไอน้ำ  ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามภาระของหม้อไอน้ำ (Boiler Load) และปริมาณของไอน้ำกลั่นตัวที่ไหลกลับ  ดังนั้น เมื่อมีการสุ่มตัวอย่างน้ำที่ป้อนเข้า  ก็ต้องมีการพิจาณราถึงสภาวะการทำงานของหม้อไอน้ำโดยเฉลี่ยด้วย
          เปอร์เซ็นต์การระบายน้ำทิ้งที่คำนวณได้สามารถนำมาแปลงค่าให้เป็นช่วงระยะเวลาที่วาล์วของท่อระบายน้ำทิ้งเปิดเต็มที่  ผู้ผลิตวาล์วบางแห่งจะทำแผนภูมิสำหรับอุปกรณ์ที่คล้าย ๆ กันไว้  ดังแสดงให้เห็นในรูปที่ 19
          ปัญหาของระบบนี้จะแยกส่วนจากเรื่องที่แนะนำไว้ในไอน้ำแฟลช  เพราะปัญหาหลักของระบบนี้คือ  เมื่อต้องการนำความร้อนกลับมาใช้ใหม่จะเป็นเรื่องที่ทำได้ยากและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย  อย่างไรก็ตามถ้าต้องการนำความร้อนกลับมาใช้ใหม่  ก็ควรปรับวิธีการระบายน้ำทิ้งในการระบายแต่ละครั้งให้มีปริมาณน้อยแต่ระบายให้บ่อยขึ้น  ในรูปที่ 20 แสดงให้เห็นวิธีการง่าย ๆ ดดยนำเครื่องควบคุมเวลา (Time : E) มาใช้ควบคุมการระบายน้ำทิ้งในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ และเพื่อให้สอดคล้องกับตารางเวลาที่ได้กำหนดขึ้น  สำหรับวิธีการนี้การทดสอบต้องทำทุกวันเพื่อสามารถกำหนดตารางเวลาปรับเปลี่ยนได้  โดยคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงในหม้อไอน้ำและการปฏิบัติการของระบบด้วย
          การควบคุมเวลาการระบายน้ำทิ้งอย่างอัตโนมัติ  โดยติดตั้งเครื่องตรวจวัด TDS แบบต่อเนื่อง (F) ดังที่แสดงให้เห็นในรูปที่ 21 เครื่องตรวจวัด TDS แบบต่อเนื่องจะวัดปริมาณของ TDS ที่เปลี่ยนแปลงไปจากระดับ TDS ที่กำหนดไว้  การควบคุมระบบนี้มีข้อเสียคือ  การวัดหาปริมาณของ TDS ยังไม่ละเอียดพอเพราะวาล์วที่ใช้ยังเป็นระบบปิด-เปิดแบบ มาตรฐานเก่า
          ระบบการระบายน้ำทิ้งอย่างต่อเนื่องนำมาใช้ได้ดีในที่ที่ต้องการให้มีการนำความร้อนกลับมาใช้ใหม่  รูปแบบที่ง่ายที่สุดสำหรับระบบที่มีวาล์วที่ตั้งค่าได้คือ  สามารถปรับค่าได้หลังจากที่มีการทดสอบน้ำในหม้อไอน้ำ  ตามปกติแล้วผู้ผลิตวาล์วได้จัดส่งแผนภูมิที่แสดงให้เห็นอัตราการไหลที่ค่าความดันระดับต่าง ๆ และตำแหน่งของวาล์วที่ตำแหน่งต่าง ๆ มาให้แล้ว  การตั้งค่าวาล์วเริ่มแรกขึ้นอยู่กับแผนภูมิเหล่านี้และอัตราการระบายน้ำทิ้งตามข้อกำหนดที่ได้มีการคำนวณไว้แล้ว
          ระบบการควบคุมอัตโนมัติเต็มรูปแบบดังที่แสดงไว้ในรูปที่ 22 จะใช้เครื่องตรวจวัด TDS (C) วัดปริมาณ้ำที่ระบายทิ้งด้านที่มีอุณหภูมิต่ำ  โดยการส่งสัญญาณผ่านไปยังชุดควบคุม (D) เพื่อปรับเปลี่ยนค่าวาล์ว (B) ซึ่งระบบนี้จะควบคุมขบวนการเมื่อน้ำที่ระบายทิ้งเย็นลงไหลผ่านเครื่องตรวจวัด TDS แบบต่อเนื่อง
          ข้อเสียหลาย ๆ ระบบที่ติดตั้งเครื่องตรวจวัด TDS ไว้กับท่อระบายน้ำทิ้งคือ  ในบางขั้นตอนระหว่างการปฏิบัติการวาล์วที่ใช้ควบคุมอาจถูกปิดทำให้เครื่องตรวจวัด TDS ไม่สามารถทำงานได้ตามข้อกำหนดของผู้ผลิตหม้อไอน้ำ
          การนำความร้อนกลับมาใช้ใหม่ (Heat Recovery)
          วิธีที่ง่ายที่สุดของการนำความร้อนกลับมาใช้ใหม่แสดงไว้ในรูปที่ 23 จะเห็นว่าไอน้ำแฟลชเกิดขึ้นได้จากการลดความดันน้ำในหม้อไอน้ำลงสู่ความดันบรรยากาศ  ซึ่งจะถูกส่งไปพ่นใต้ผิวน้ำของถังน้ำป้อนเข้า  แต่ข้อควรระวังสำหรับการออกแบบภาชนะของไอน้ำแฟลชคือ  ต้องระวังไม่ให้มีสารปนเปื้อนเจือปนกับน้ำทิ้งใต้เครื่องที่มี TDS สูงปะปนไปกับหยดไอน้ำ  เพราะจะทำให้เกิดแครี่โอเวอร์ (Carry Over) ในถังน้ำป้อนเข้า
          แนวทางทั่ว ๆ ไป สำหรับการออกแบบภาชนะใส่ไอน้ำแฟลชมีดังต่อไปนี้
          -  การออกแบบต้องให้ความเร็วลดลงอย่างเหมาะสมเพื่อให้น้ำที่กลั่นตัวและไอน้ำแยกตัวออกจากกันภายใต้แรงโน้มถ่วงของโลก  ซึ่งจากประสบการณ์ความเร็วต่ำที่สุดคือ 15 เมตร/วินาที
          -  ความสูงของถังไอน้ำแฟลชต้องเหมาะสมที่จะป้องกันน้ำในไอน้ำแฟลชกลับเข้ามา  โดยปกติทางออกควรมีความสูงกว่าระดับน้ำอย่างน้อยที่สุด 1 เมตร
          ระบบการระบายน้ำทิ้งอย่างต่อเนื่องจะช่วยทำให้สามารถนำเอาความร้อนจากน้ำที่อยู่ในระบบการระบายน้ำทิ้งกลับมาใช้ใหม่ได้เองทั้งโดยตรงหรือหลังจากที่นำไอน้ำแฟลชกลับมาใช้ใหม่แล้วก็ได้  ทั้ง  2 ระยยแสดงได้ดังรูปที่ 24 และ 25  ในรูปที่ 24 เป็นระบบที่ 1 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไอน้ำแฟลชที่พ่นใต้พื้นผิวของถังน้ำป้อนส่วนที่เป็นน้ำจะถูกส่งต่อไปที่ท่อระบายน้ำทิ้งโดยผ่านเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนระบบที่ 2 ในรูปที่ 25 ใช้เฉพาะในบริเวณที่มีสารปนเปื้อนอยู่ตรงข้ามน้ำระบายทิ้งและน้ำป้อน  ปั๊มน้ำป้อนเข้าต้องวางไว้หน้าเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนเสมอ  เพราะอุณหภูมิน้ำป้อนเข้าที่สูงเป็นสาเหตุของการเกิดโพรงอากาศษ (Cavitation) ทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาปั๊มเพิ่มสูงขึ้น
                         ควรติดตั้งระบบการระบายน้ำทิ้งอย่างต่อเนื่องร่วมกับการนำความร้อนกลับมาใช้ใหม่
          อันตรายจาการเกิดแครี่โอเวอร์ (The Dangers of Carry-over)
          น้ำที่ปนไปกับไอน้ำที่ออกจากหม้อไอน้ำ  เรียกว่า  แครี่โอเวอร์ (Carry-Over) น้ำเหล่านี้จะมีค่า TDS และมีสารเคมีที่บำบัดน้ำอยู่ด้วย  จะทำให้เกิดตะกอนของเกลือที่ละลายเหล่านี้สะสมภายในกระบอกสูบของเครื่องจักร (Engine Cylinders),  ใบพัดของกังหัน (Turbine Blades),  วาล์ว (Valve Bodies) เป็นต้น  เป็นเหตุให้โรงงานเกิดความเสียหายอย่างรุนแรง  และเกลือยังจะไปตกตะกอนอยู่ที่พื้นผิวของการถ่ายเทความร้อนได้ด้วย  ซึ่งจะผลให้สมรรถนะการทำงานและประสิทธิภาพของระบบลดลงด้วย
          สาเหตูสำคัญของการเกิดแครี่โอเวอร์ (Carry-Over) ทั้งทางด้านเคมีและเครื่องกลไก  มีดังนี้
สาเหตุทางด้านเคมี (Chemical Causes)
          -  สารอินทรีย์ (Organic Matter) ในน้ำ
          -  ของแข็งแขวนลอย (Suspended Solids) อยู่ในน้ำของหม้อไอน้ำ
          -  น้ำมัน (Presence of Oil) ที่มีอยู่ในน้ำของหม้อไอน้ำ
           -  สารที่คล้ายสบู่ (Soap-Like Substances) ในน้ำของหม้อไอน้ำ
           -  ระดับความเป็นด่างสูง
สาเหตุจากเครื่องจักรกล (Mechanical Causes)
          -  การเดินเครื่องที่ความดันต่ำกว่าความดันที่ได้ออกแบบไว้  เป็นผลทำให้ไอน้ำที่บริเวณผิวน้ำกลายเป็นไอในอัตราที่เร็วขึ้น
          -  ระดับของน้ำที่สูงเกินไป  ทำให้ช่วยเร่งการเกิดน้ำปะทุ (Priming) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อภาะการเดินเครื่องเปลี่ยนแปลงจากต่ำไปสูง
          -  อัตราการป้อนเชื้อเพลิงที่สัมพันธ์กับภาระการเดินเครื่องไม่ถูกต้อง
          -  การเปิด-ปิดของปั๊มน้ำป้อนเข้าต้องสัมพันธ์กับภาระการเดินเครื่องที่ขึ้นลงอย่างรวดเร็ว
          -  ข้อบกพร่องของการออกแบบภายในของเปลือกหม้อไอน้ำ
                                น้ำที่เกิดแครี่โอเวอร์   --->   ทำให้การถ่ายเทความร้อนลดลง
                        น้ำที่เกิดแครี่โอเวอร์   --->   ทำให้เกิดการกัดกร่อน
          การลดการกัดกร่อนให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด (Minimising Corrosion)
           น้ำธรรมชาติมีทั้งออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศที่ละลายอยู่ในน้ำ  ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดสนิมขั้นกับโลหะที่เป็นเหล็ก
          ออกซิเจนจะทำให้เกิดฟองเล็ก ๆ อยู่บนพื้นผิวของโลหะในหม้อไอน้ำ  และทำให้เกิดปฏิกิริรยาไฟฟ้าเคมีขึ้นผลกระทบของการมีออกซิเจนในหม้อไอน้ำก็คือ  จะเกิดแอ่งหรือหลุ่มเล็ก ๆ จำนวนมากในบริเวณท่อและเปลือกของหม้อไอน้ำ  กระบวยการที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่า  ออกซิเจนพิตติง (Oxygen Piting)
          การลดออกซเดชั่น (De-Oxidation) ของน้ำทำได้ 2 วิธี  คือ  ทางเคมีและทางกล  สำหรับวิธีทางเคมีจะใช้เคมีเข้าไปจับกับออกซิเจน  และวิธีทางกลก็คือการให้ความร้อนในน้ำเพื่อลดความสามารถในการละลายของออกซิเจน  และทั้ง 2 วิธีดังกล่าวมีราคาแพง  วิธีแรกมีค่าใช้จ่ายสูงเพราะว่าปริมาณสารเคมีที่ต้องใช้  และวิธีที่ 2 มีความต้องการไอน้ำในปริมาณมากเพื่อทำให้น้ำร้อนขึ้น
          วิธีที่นิยมใช้กันสำหรับไอน้ำที่มีความดันต่ำคือ  การไล่อากาศ  โดยเพิ่มอุณหภูมิของน้ำป้อนเข้าในหม้อไอน้ำให้มีสูงกว่าจุดเดือด
          ในทางปฏิบัติวิธีที่ดีที่สุดของการลดการกัดกร่อนจากออกซิเจนและลดการเติมสารเคมีคือ  การน้ำไอน้ำกลั่นตัวกลับไปใช้ในหม้อไอน้ำให้มากที่สุด
          วิธีแก้ปัญหาวิธีใหม่  ซึ่งสามารถนำไปใช้ในที่ที่ต้องการปริมาณน้ำที่เติมทดแทนเข้าไปเป็นจำนวนมาก  ก็คือการอัดอากาศในขณะที่อุณหภูมิต่ำดังที่แสดงไว้ในรูปที่ 26 แก๊สไอเสียที่ปล่อยออกสามารถนำมาใช้แทนที่ไอน้ำที่มีความดันต่ำ  เพื่อใช้อุ่นน้ำป้อนเข้าในหม้อไอน้ำ  ในขณะที่แก๊สออกซิเจนและแก๊สคาร์บอนได้ออกไซด์จะถูกแยกออกจากน้ำที่เติมเข้าไปโดยการใช้แก๊สเฉื่อยที่เครื่องแยก (Packed Bed)  สารเคมีเพื่อใช้จับออกซิเจนจะถูกปล่อยออกไปด้วยน้ำที่เข้าอีโคโนไมเซอร์เย็น  การทำงานของหม้อไอน้ำก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น  สามารถถ่ายเทความร้อนแก๊สไอเสียเข้าไปในน้ำได้มากขึ้น
ระบบน้ำร้อน (Hot Water Systems)
          นอกเหนือจากระบบเปิดเล็ก ๆ ที่ใช้ถังน้ำป้อนเข้าและถังรับการขยายตัวของน้ำ  สำหรับควบคุมความดันให้เป็นปกติแล้ว  จำเป็นอย่างยิ่งที่ระบบน้ำร้อนต้องเป็นระบบปิด  เพื่อให้การรั่วไหลหรือการสูญเสียของน้ำเกิดขึ้นน้อยที่สุดหลังจากที่มีการเติมน้ำครั้งแรกแล้ว  ในส่วนการบำบัดน้ำมีความสำคัญเป็นอันดับรองลงมา
          การบำบัดน้ำภายใน (Internal Treatment)
          ระบบเล็ก ๆ ส่วนใหญ่จะใช้งานที่อุณหภูมิต่ำ  ไม่ต้องการการบำบัดน้ำที่เติมเข้าไป  นอกเสียจากว่าค่าของความกระด้างทั้งหมดที่ละลายน้ำเกินกว่า 100 มิลลิกรัม/ลิต  ในกรณีเช่นนี้  ให้ใช้วิธีการทำน้ำอ่อนโดยการแลกเปลี่ยนอิออนก็เพียงพอแล้ว  และสำหรับระบบใหญ่ ๆ ที่ใช้ความดันต่ำก็ใช้วิธีการบำบัดน้ำวิธีนี้เช่นเดียวกัน  สำหรับที่ใช้งานที่อุณหภูมิปานกลางถึงค่อนข้างสูง  น้ำที่เติมจะต้องผ่านเครื่องกรองน้ำระบบแยกแร่ธาตุ (Demineralised) ก่อนที่จะนำไปใช้งาน
          การบำบัดน้ำภายใน (Internal Treatment)
          นอกเหนือจากระบบเล็ก ๆ ที่ใช้ในบ้านเรือนแล้ว  ระบบน้ำร้อนทั้งหมดยังต้องการเพิ่มสิ่งต่าง ๆ เข้าไปในระบบคือ
          -  น้ำที่เติมเข้าไปจะต้องมีความเป็นด่างเล็กน้อย  เพื่อแก้ปัญหาความเป็นกรดที่มีอยู่ในธรรมชาติ
          -  สารกำจัดออกซิเจน  เพื่อป้องกันการกัดกร่อน
          -  สารปรับสภาวะของตะกอนเหนียวเพื่อป้องกันการตกตะกอนและการเกิดเมือกเหนียวเกาะพื้นผิวถ่ายเทความร้อน
          ระบบส่วนใหญ่มีอัตราการเติมน้ำที่ต่ำมาก  ดังนั้นความจำเป็นในการเติมสารเคมีเข้าไป  จึงควรกำหนดเวลาของการทดสอบคุณภาพน้ำที่ถูกต้องจะต้องเติมน้ำเข้าไปในปริมาณน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
               ถ้าการบำบัดน้ำน้อยเกินไป  ----->  จะทำให้เกิดการกัดกร่อนและทำให้เกิดการเสื่อมสภาพ
               ถ้าการบำบัดน้ำมากเกินไป  ----->  จะทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นและทำให้เกิดการเสื่อมสภาพ

เคมีบอยเลอร์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น